เทคนิคการทำนาแบบ เอส อาร์ ไอ
ก. การเตรียมที่นา
ในระบบ เอส อาร์ ไอ แนะนา ให้มีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นหลักเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน ดังนั้น การไถนาทันทีที่เกี่ยวข้าวเสร็จจะดีที่สุด มันจะช่วยฆ่าแมลงและศัตรูพืชอื่น ๆ แม้ วัชพืช จะเติบโตแต่ก็จะถูกทาลายไปขณะทาให้ ดินเป็นโคลน
- อย่าปล่อยให้น้ำท่วมนานอกฤดูกาลทำนา ไม่เช่นนั้น ดินจะขาดอากาศ และแมลงศัตรูพืชที่เป็นอันตรายจะเข้ามาอาศัย
การทำให้ดินเป็นโคลน
กาจัดวัชพืชอย่างระมัดระวังระหว่างการไถคราด
ถอนวัชพืชที่ไม่ตายออกทั้งรากให้หมดแปลง
จุดสำคัญ (ในการกาจัดวัชพืช)
ในการกำจัดวัชพืชครั้งแรกแต่เนิ่น ๆ ภายใน 10–15 วันหลังการปักดำ นั้นสำคัญมากอย่าลืมปักต้นกล้าทดแทนต้นที่ตายหรือเสียหาย
ใช้น้ำให้น้อยที่สุด
เป็นการให้ออกซิเจนแก่รากต้นกล้า
ออกซิเจนกับราก
ต้นข้าวหายใจด้วยราก และออกซิเจนให้พลังงานแก่ต้นข้าว การให้ออกซิเจนแก่รากส่งผลดีอย่างยิ่ง ต่อการเติบโตของต้นข้าว และจาเป็นต่อการเพิ่มผลผลิตให้อยู่ในอัตราสูง ซึ่งอาจจะสูงได้ถึง
1.28 ตันต่อไร่ หรือมากกว่านั้น
- ข้าวจะหายใจลาบากหากโดนน้าท่วม
- ต้นข้าวจะสลบเพราะขาดอากาศหายใจ
- รากจะไม่งอกเต็มที่
- จะเกิดกรดขณะที่ต้นข้าวย่อยอาหาร
- เนื้อเยื่อของรากจะกลายรูป (เปลี่ยนสภาพไป)
- ต้นข้าวต้องการให้น้าท่วมตื้น ๆ ก็ต่อเมื่อเริ่มออกรวง จนถึงระยะแรก ๆ ที่ข้าวเริ่มตั้งท้อง
การปรับปรุงคุณภาพดิน
• ปุ๋ยหมัก โดยทั่วไปการทา ปุ๋ยหมักมีขั้นตอนยุ่งยากและต้องพลิกกองปุ๋ยหมัก
ปัจจุบันมีวิธีการทา ปุ๋ยหมักโดยไม่ต้องพลิกกองปุ๋ยหมักแต่จะวางท่อนไม้ใผ่ไว้ในกองปุ๋ยหมักเป็นชั้นเพื่อช่วยในการระบาย
อากาศและความร้อนและควรเตรียมปุ๋ยหมักไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 -
3 เดือน
• ปุ๋ยพืชสด มีข้อดีคือไม่ต้องขนย้ายเหมือนปุ๋ยหมักเพียงหว่านเมล็ดพันธุ์ปุ๋ยพืชสดและเมื่อได้เวลาก็ทา
การไถกลบ ปุ๋ยพืชสดที่นิยมได้แก่ โสนอัฟริกา ใช้เมล็ดพันธุ์
3 กก.ต่อไร่ และทาการไถกลบเมื่ออายุ 50 – 60 วัน ส่วนถั่วเขียวใช้เมล็ดพันธุ์ 7-8 กก.ต่อไร่และไถกลบเมื่ออายุ
40 – 45 วัน
• ปรับพื้นที่ให้เรียบและทา ร่องน้าที่ขอบคันนาเพื่อความสะดวกในการระบายน้าเข้า-ออก
• ปลูกพืชตระกูลถั่วหลังการทานาเพื่อเสริมรายรับและช่วยปรับปรุงดิน
จากประสบการณ์ทานาแบบ เอส อาร์ ไอ เน้นการใช้ปุ๋ยหมักเพราะปุ๋ยหมักมีส่วนประกอบของธาตุอาหารหลายอย่างที่จาเป็นต่อการเจริญของพืช นอกจากจะได้รับจากซากพืชแล้วยังได้รับจากซากสัตว์อีกด้วย
การไถกลบปุ๋ยพืชสดในช่วงที่ออกดอกหรือใกล้ออกดอกเพราะเป็นช่วงที่ปุ๋ยพืชสดได้มีการสะสมอาหารในตัวมากที่สุดและในช่วงที่ปุ๋ยพืชสดขึ้นควรระวังไม่ให้วัวควายเข้ามาในแปลงนา
การปรับที่นาและการทำ ดินให้เป็นโคลน
สาหรับต้นกล้าอ่อน ๆ ไม่จาเป็นต้องให้โคลนลึกนัก ให้มีน้าน้อย ๆ
- โคลนไม่ควรเละเป็นน้า แต่ควรเหนียวข้น ไม่มีน้าขัง
- ที่นาควรราบเรียบสม่าเสมอ เพื่อให้น้าแผ่ไปถึงต้นกล้าได้ทุกต้น
- เริ่มทาให้ดินเป็นโคลนไปพร้อมกับเพาะต้นกล้า และทาไปเรื่อย ๆ ให้เสร็จตอนจะ ปักดาพอดี
ข. การเพาะกล้า
ควรเพาะกล้าก่อนปลูก 8 –12 วัน
การเตรียมแปลงกล้าให้ทำ เหมือนแปลงผักให้มีการผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อให้ดินร่วนซุยเมื่อถอนกล้าไปปลูกรากข้าวจะได้การกระทบกระเทือนน้อย
• แช่เมล็ดพันธุ์นาน 12-24 ชั่วโมงในน้าอุ่น 35-40 องศาเซลเซียสจะดีที่สุดหรือตามแบบที่เคยทามา
• หว่านเมล็ดพันธุ์ในโรงเพาะชำ ให้หว่านไว้หลาย ๆ วัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีต้นกล้าอ่อนๆ มากพอที่ จะปลูกตลอดระยะเวลาของการปักดา
• โรงเพาะชำ ควรจะเล็กและอยู่ใกล้แปลงที่จะปลูกข้าวมากที่สุด
• แปลงเพาะขนาด 2 X 3 ตารางเมตรใช้เมล็ด 250 - 300 กรัม ดังนั้นถ้ามีพื้นที่ 1 ไร่ ซึ่งต้องใช้เมล็ดพันธุ์
1 กิโลกรัม จึงต้องใช้แปลงเพาะขนาดนี้ 4 แปลง หลังหว่านเมล็ดคลุมด้วยฟางหรือใบกระถินหรืออื่น ๆ ที่เหมาะสม
• อย่าให้น้าท่วมโรงเพาะชำ แต่ให้มีความชื้นในดินเหมือนในโรงเพาะชาพันธุ์ผัก ทำทางระบายน้ำ
เล็ก ๆ เพื่อให้น้าไหลออก
• ในวันหนึ่ง ๆ ฝนควรจะตกอย่างเพียงพอ หากวันไหนฝนไม่ตก ให้รดน้ำเช้าเย็น อย่ารดน้ำขณะที่
แดดร้อนจัด
การเตรียมเมล็ดพันธุ์
• ใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อไร่
• แช่เมล็ดพันธุ์ข้าวตามที่เคยทา มา หากมีปัญหาเรื่องบั่วขอแนะนา ให้แช่เมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยน้าสะเดา
• เมล็ดพันธุ์ 250-300 กรัม เพาะในพื้นที่
6 ตารางเมตร
1 กิโลกรัมเพาะในพื้นที่
24ตารางเมตร ให้มีการรดน้ำวันละครั้ง(หากฝนไม่ตก แต่ถ้าฝนตกต้องระบายน้าออกไปไม่ให้ขังอยู่ในแปลงนา)
ค. การขนย้ายกล้าออกจากแปลงเพาะชา อย่างระมัดระวัง
• ถอนต้นกล้าทีละ 2-3 ต้นเท่านั้น ให้ขนย้ายไปยังแปลงปลูกข้าวทันที แล้วปักดำ ไม่เกินครึ่งชั่วโมง
หลังจากถอนต้นกล้า ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้รากต้นกล้าแห้ง
• ถอนต้นกล้าเบา ๆ ตรงโคนต้น ใช้เครื่องมือเล็ก ๆ เช่น เกรียง ขุดให้ลึกถึงใต้ราก ซึ่งจะเป็นการ
รบกวนต้นกล้าน้อยที่สุด
• คอยระวังอย่าให้ต้นกล้าหลุดออกจากเมล็ดพันธุ์ และให้มีดินเกาะรากไว้บ้าง
• ให้ถอนต้นกล้าและขนย้ายอย่างเบามือ อย่าให้ช้า อย่าล้างราก อย่าทิ้งไว้กลางแดด เท่านี้ยังไม่นับ
ว่าเน้นมากพอ เพราะต้นกล้าอ่อน ๆ เป็นสิ่งมีชีวิตที่บอบบางมาก หากต้นกล้าได้รับการ
สัมผัสเบา ๆ การเติบโตจะไม่ชะงัก และใบจะไม่เหลือง
จุดสำคัญ (ในการเพาะชำ)
เพาะเมล็ดพันธุ์ไว้หลาย ๆ วัน
– อย่าสร้างโรงเพาะชาบนดินเค็ม หากที่นาเค็มให้ปักดา เมื่อต้นกล้ามีใบ 3-4 ใบ (15-17วัน) –
ให้โรงเพาะชา แห้งเกือบสนิท แต่ให้ดินชื้นไว้
– ถอนต้นกล้าเบาที่สุดเท่าที่จะทาได้
- อย่าลืมว่าต้องไม่ให้ต้นกล้าหลุดออกจากเมล็ดพันธุ์
ง. การดำนาหรือปักดำ ให้ต้นกล้าอยู่ห่างกันพอสมควรและปักดำทีละต้น
• กล้าที่จะดำ มีอายุประมาณ
8 – 12 วัน หรือ มีใบ 2
ใบ
• ในการปลูกให้ปลายรากอยู่ในแนวนอนอย่างสม่าเสมอ (ปลายรากจะชอนไชลงดินได้ง่ายและเป็น
การประหยัดพลังงานทา ให้ข้าวตั้งตัวได้เร็ว)
• ในการถอนมาแต่ละครั้งปลูกให้หมดภายใน 15-30 นาที เพื่อช่วยลดความเครียดให้กับต้นข้าว
• ปลูกในระยะห่างไม่น้อยกว่า 25 เซ็นติเมตรเท่า ๆ กัน
• ปลูกเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสเพื่อความสะดวกในการกำจัดวัชพืชระหว่างแถวและระหว่างต้น
ภาพ การปลูกข้าวแบบ เอส อาร์ ไอ
หลักการ : ปักดำต้นกล้าขณะที่เพิ่งแตกใบได้ 2 ใบ
- ระหว่าง 6 และ 11 วัน หลังจากแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำอุ่น และอากาศชื้น
- ระหว่าง 7 และ 13 วัน หากที่นาสูงกว่าระดับน้ำทะเล 500-1,000 เมตร
- ระหว่าง 8 และ 15 วัน หากที่นาสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,000-1,500 เมตร
หากปักดำ ต้นกล้านอกเหนือจากระยะเวลาที่กล่าวมานี้ ต้นข้าวที่จะงอกในแต่ละกอจะมีจานวนน้อย เวลา
8-10 วัน เหมาะที่สุดในทุกสถานการณ์ แต่เกษตรกรควรทดลองดูว่า ควรใช้ระยะเวลาเท่าใดจึงจะได้ผลผลิตมากที่สุดในสถานการณ์ของตน
(เช่น หากสภาพ ดินเค็มขอแนะนาำ ให้ปักดำ เมื่อต้นกล้าแตกใบ 3-4 ใบ)
ง.1 ปักต้นกล้าทีละต้น
นี่คือกุญแจสาคัญ การปักต้นกล้าทีละหลายต้น จะทา ให้ต้นข้าวแย่งอาหารและแสงแดดกันปักต้นกล้าแยกกัน ทีละต้น อย่าปักเป็นกำ ๆ ทีละหลายต้น
ง.2 ปักต้นกล้าเป็นรูปตาราง (40 x 40 หรือ
33 x 33 หรือ 25 x 25 ตารางเซนติเมตร)
- ให้ต้นกล้าแต่ละต้นอยู่ห่างกัน เพื่อให้รากได้แผ่กว้างและได้รับแสงแดดมากขึ้น
- หาเชือกมาผูกปม ทุก 40
หรือ
33 หรือ
25 เซนติเมตร เพื่อบอกระยะ ขึงเชือกที่ผูกปมแล้วนี้ไว้ที่ด้านหนึ่งของแปลงข้าว
- ปักต้นกล้าลงตรงที่มีปมเชือก แรงงาน
1 คน ปักดา คนละ 2-4 เมตร
- เสร็จแล้วย้ายเชือกไปขึงขนานกับต้นกล้าแถวแรก และให้ห่างจากแถวแรก
40 หรือ
33 หรือ 25 เซนติเมตร แรงงานที่อยู่กลางกลุ่มควรเป็นคนดูแลให้การปักกล้าเป็นแถวแนวไม่บิดเบี้ยว
ง.3 ข้อควรจา ในการปักดา เป็นรูปตาราง
1. เพื่อให้ปักดา ในแนวดิ่งได้เร็วขึ้น ให้ขึงเชือกที่ผูกปมแล้วอีกเส้น ให้ตั้งฉากกับเชือกเส้นแรกโดยขึงตรงกลางแปลงปลูกข้าว
2. การปักต้นกล้าให้ห่างกัน 40 x 40 เซนติเมตรจะเร็วกว่าปักห่างกัน
25 x 25 เซนติเมตร และเหมาะกับแปลงใหญ่ๆ นอกจากนั้น ยังง่ายต่อการกาจัดวัชพืช เน้นการประหยัดเมล็ดพันธุ์ ทาให้ข้าวแตกกอใหญ่กว่า ซึ่งเป็นเป้าหมายและเป็นหลักฐานพิสูจน์ข้อได้เปรียบของการปลูกข้าวแบบมาลากาซี
3. การปักต้นกล้าเป็นรูปตาราง โดยมีช่องว่างกว้างและสม่ำเสมอ ทาให้เกษตรกรกาจัดวัชพืชได้สอง
ทิศทาง คือเป็นมุมฉาก ตอนแรกขึ้นลงตามแนวตั้ง แล้วซ้ายขวาแนวนอน
ง.4 ปักดา อย่างเบามือ
- ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จับโคนราก
- ปักต้นกล้าลงในโคลนเบา ๆ
- อย่าปักตรงลงไปแบบนี้ u แต่ให้ปักเฉียง ๆ แบบนี้ L
- ทั้งนี้ เพื่อให้รากงอกแผ่ไปตามแนวนอน ไม่งอกชี้ขึ้นข้างบน
- อย่าปักลึกเกินไป อย่าให้ลึกเกิน
1 – 2 เซนติเมตร
- เผื่อต้นกล้าไว้ปักที่ขอบแปลง เอาไว้แทนต้นกล้าที่อาจตายหรือเสียหาย
จุดสำคัญ (ในการปักดำ )
อย่าปักลึกเกินไป
– ต้องไม่ลืมที่จะเผื่อต้นกล้าไว้ปักที่ขอบแปลง เอาไว้แทนต้นกล้าที่ตายหรือเสียหาย
จ. การควบคุมน้ำ ในแปลงนา
จ.1 การระบายน้ำ
การทำ ให้นาแห้งต้องให้น้ำสามารถออกจากนาได้น้ำที่ไหลเร็วจะเอาออกซิเจนออกไปมากกว่าน้าที่ค่อย ๆ ไหลออก หรือค่อย ๆ ลดลง
- ทาความสะอาดคูคลองระบายน้า ขุดเซาะออกให้กว้างขึ้น
- การวางท่อ หรือขุดคูรอบแปลงจะคุ้มค่าเพราะทา ให้น้าไหลออกง่ายขึ้น
จ.2 ใช้น้าให้น้อยที่สุด
- ขณะดานา ให้ใช้น้าแต่น้อย ให้มากพอที่จะทา ให้ดินเป็นโคลนเท่านั้น
- ขณะที่ข้าวแตกกอ ปล่อยให้แปลงข้าวแห้งลงไปในเนื้อดิน
(ดูข้อต่อไป)
ไม่ต้องกังวลเรื่องรอยแตกบนผิวโคลน
- ให้น้าท่วมเฉพาะตอนที่ข้าวเริ่มออกรวง ปล่อยให้น้าท่วมตื้น ๆ จนถึงระยะที่ข้าวเริ่ม ตั้งท้องให้น้าสูงเพียง 1-2 เซนติเมตร อย่าให้มากกว่านั้น อย่าให้น้าท่วมนาก่อนข้าวจะเริ่มออกรวง
- ทันทีที่ต้นข้าวเริ่มลู่ลงเพราะน้าหนักของเมล็ดข้าว ให้ปล่อยน้าออกจากนา จนกว่าจะแห้งและถึงเวลาเก็บเกี่ยว
จ.3 การทำนา ให้นาแห้ง (2-3 เดือนแรก)
เมื่อต้นกล้าเริ่มแตกหน่อ (เดือนแรก) ต้นข้าวต้องการเพียงความชื้น และการทา ให้แห้งก็มีผลดีต่อการเพิ่มผลผลิต ต่อไปนี้คือวิธีการพื้นฐาน 3 วิธี ที่ควรใช้ตามแต่สภาพภูมิอากาศและสภาพการระบายน้าออกจากนา
- เลื่อนเวลาการทดน้าเข้านา หลังจากปักดาแล้ว และระหว่าง 2 เดือนแรก อย่าเพิ่งทดน้าเข้านา ให้รดน้าก่อนการ กำจัดวัชพืชเท่านั้น เพื่อให้ดินรักษาความชื้นไว้ได้ (ระหว่างนี้ดินควรจะค่อน ข้างเปียก) วิธีนี้ดีที่สุดและง่ายมาก
- จัดการให้นาแห้งชั่วคราว ทุกสัปดาห์ หรือเมื่ออากาศอานวย ทาให้นาแห้งครั้งละ
2-6 วัน
- ให้ทดน้ำเข้านาสูง 2 เซนติเมตร ทุกเช้า ทุกวัน อย่างสม่ำเสมอ และปล่อยให้นาแห้งในตอนบ่าย
ข้อควรจำ ในการทำให้นาแห้ง
1. การจัดการน้าในรูปแบบนี้ช่วยลดการสูญเสียพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ ซึ่งถูกผิวน้านิ่ง
ในนาสะท้อนออกไป ข้าวก็เช่นกันกับพืชอื่น ๆ ย่อมเติบโตอย่างรวดเร็วหากได้รับความอบอุ่นมากขึ้น ดังนั้น หากนาข้าวไม่ถูกน้าท่วมจะดีกว่าจะได้อุ้มความอบอุ่นได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ได้ออกซิเจนแก่รากมากขึ้นด้วย
2. นอกจากนั้น การประหยัดน้าก็เป็นสิ่งที่ดี และการใช้เวลานานในการทา ให้นาแห้งจะช่วยลดก๊าซ
มีเทนด้วย
3. ให้ระมัดระวัง หากนาข้าวเค็มหรือเป็นทราย
จุดสำคัญ (น้ำ)
การทำ ให้นาแห้งนั้น ต้องให้แห้งลึกลงไปในดิน และมีรอยแตกบนผิวโคลน แต่อย่าลืมทดน้าเข้านาทันทีที่ข้าวเริ่มออกรวง
ในช่วงที่ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่ควรให้มีน้าขังในแปลงนาแต่มีการให้น้าโดยการปล่อยน้าเข้าออก ในบางครั้งควรปล่อยที่นาให้แห้งจนดินแตก การปล่อยให้ผืนนาแห้งเช่นนี้ช่วยให้ข้าวได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ เป็นผลให้ขบวนการสังเคราะห์แสงมีประสิทธิภาพสูงแต่เมื่อข้าวเริ่มออกรวงให้ขังน้าไว้ในแปลงนา
1 – 2 เซนติเมตร และปล่อยน้าออกก่อนทาการเก็บเกี่ยว
20 วัน
ฉ. การดูแลรักษา
• การกำจัดวัชพืช เนื่องด้วยระบบ เอส อาร์ ไอ ใช้กล้าต้นอ่อนปลูกระยะห่างพอสมควรอีกทั้งไม่มี
การขังน้าในแปลงนาซึ่งสภาพที่นาเช่นนี้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของวัชพืช ดังนั้นควรมีการกาจัด
วัชพืชอย่างน้อย 3 ครั้ง เกษตรกรหลายคนใช้เครื่องทุ่นแรงในการกาจัดวัชพืช ที่ผลิตจากโรงงาน
หรือประดิษฐ์ขึ้นมา บางท่านถอนด้วยมือถ้าถอนด้วยมือ เมื่อถอนแล้วจะเหยียบฝังต้นวัชพืชลงใน
แปลงนาเพื่อเป็นปุ๋ยต่อไป
ตารางเวลาในการกาจัดวัชพืช ครั้งที่
|
อายุข้าว (วัน)
|
1
|
10
|
2
|
25-30
|
3
|
55-60
|
4
|
แล้วแต่ความเหมาะสม
|
•ในการกาจัดวัชพืชต้องใช้เวลาและแรงงานมากพอสมควร
แต่ในการกาจัดวัชพืชแต่ละครั้งช่วยให้ผล
ผลิตเพิ่มขึ้นในระดับที่คุ้มกับการลงทุน เพราะทาให้อากาศเข้าไปในดินได้มากซึ่งเป็นเหตุให้รากข้าว ได้รับออกซิเจนโดยตรงมีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว
ประโยชน์ในการกาจัดวัชพืช
แสดงประโยชน์ของการกาจัดวัชพืชโดยกล่าวถึงผลผลิตที่เกษตรกรในแอมบาโทวากี ซึ่งใช้หลักการ เอส อาร์ ไอ (S.R.I.) ในฤดูกาล 1997– 1998 ได้รับ แล้วเปรียบเทียบผลผลิตกับจานวนวัชพืชที่กาจัดออกไป ภายใต้เงื่อนไขการเจริญเติบโตในชุมชน (ซึ่งเป็นที่สูงและดินถ่ายเทน้าได้ดี)
การจากัดวัชพืชมากกว่า 2 ครั้ง ให้ประโยชน์อย่างยิ่ง ทาให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 320 ต่อไร่ ต่อการกาจัดวัชพืชแต่ละครั้ง เกษตรกร 2 รายไม่กาจัดวัชพืชเลยได้ผลผลิต 960 กิโลกรัมต่อไรขณะที่เกษตรกร 8 ราย กาจัดวัชพืช 1 ครั้งเท่า นั้น ได้ผลผลิต 1,232 กิโลกรัมต่อไรส่วนเกษตรกร อีก 27 ราย กาจัดวัชพืช 2 ครั้งได้ผลผลิตใกล้เคียงกันคือ 1,184 กิโลกรัมต่อไร่แต่เ กษตรกรจานวน 24 รายซึ่งกาจัดวัชพืช 3 ครั้งได้ผลผลิตเฉลี่ย 1,456 กิโลกรัมต่อไร่ และเกษตรกร อีก 15 รายที่กาจัดวัชพืช 4 ครั้งได้ผล 1,880 กิโลกรัมต่อไร่ ข้อมูลนี้เ ป็นเหตุผลใหเ ชื่อมั่นได้ว่า การกาจัดวัชพืชมากครั้งเท่าที่กาหนดขั้นต่าไว้จะให้ผลผลิตดีกว่า
• การควบคุมและกาจัดศัตรูพืช
ปัญหาโรคและศัตรูพืชดูจะปรากฏน้อยในไร่นาที่ใช้ระบบ เอส อาร์ ไอ (
S.R.I.) อาจเป็นเพราะการทาแปลงนาให้ชื้นน้อยลง เป็นที่รู้กันดีว่าต้นพืชที่แข็งแรงและสมบูรณ์กว่าสามารถต้านโรคและศัตรูพืชได้ดีกว่า เกษตรกรที่ทานาแบบ เอส อาร์ ไอ มีวิธีการควบคุมป้องกันและกาจัดศัตรูและโรคพืชดังนี้
- แมลงและโรคบางชนิดใช้สารธรรมชาติเช่นสะเดาในการป้องกันและกาจัด
- ปูใช้เมล็ดมะขาม, ดอกทองกวาว, ยอดมันสาปะหลัง
,กับดัก
- หอยเชอรี่ใช้กับดักและสารซาโปนินที่มีในสมุนไพร
- การใช้น้าสกัดชีวภาพ
ภาพแสดงการกาจัดวัชพืชในนาข้าวด้วยเครื่องทุ่นแรงอย่างง่าย
• การใช้น้าสกัดชีวภาพ
- น้าสกัดชีวภาพจากพืช(ผักบุ้ง,หน่อไม้,หยวกกล้วย,และพืชตระกูลถั่วอื่นๆที่มีการเจริญ
เติบโตเร็ว) ให้มีการฉีดพ่นช่วงที่ข้าวเจริญเติบโต
- น้าสกัดชีวภาพจากผลไม้(กล้วย,ฟักทอง,มะละกอ,ฯลฯ)ให้มีการฉีดพ่นช่วงข้าวท้องและเป็นรวง
- น้าสกัดชีวภาพจากปลาพ่นเพื่อช่ายเพิ่มธาตุไนโตรเจนในช่วงที่ข้าวเจริญเติบโต
• การจัดการหลังออกรวง
เอส อาร์ ไอ ( S.R.I.) เน้นความพยายามให้ต้นพืชเจริญเติบโตอย่างมั่นคงและกระตุ้นให้รากและหน่อ งอกจานวนมาก ๆ ในระหว่างการเจริญเติบโต เราจะมาดูกันว่า ควรจะจัดการอย่างไรกับต้นข้าว ระหว่างสัปดาห์และเดือนต่อๆ มา กลยุทธการจัดการน้าควรเปลี่ยนทันทีเมื่อดอกเริ่มออก โดยคงระดับน้า ในแปลงนา
(ประมาณ 2 เซ็นติเมตร)
• การใช้แรงงาน
เหตุผลประการหนึ่งที่เกษตรกรปฏิเสธไม่ใช้หลักการ เอส อาร์ ไอ ( S.R.I.) ก็คือ ต้องใช้แรงงานมาก นี่เป็นเรื่องจริงในแง่ที่ว่าการเพิ่มผลผลิตข้าวต้องอาศัยงานที่ต้องทา และความพยายามในการจัดการที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความต้องการแรงงานที่เพิ่มขึ้นสาหรับวิธีการ เอส อาร์ ไอ ( S.R.I.) ไม่ได้หมายความว่าจะต้องลงทุนจ้างคนงานเพิ่มขึ้น ในอีกแง่หนึ่ง เกษตรกรจะพบว่าวิธีการ เอส อาร์ ไอ ( S.R.I.) ใช้แรงงานน้อยกว่า
1. แรงงานที่เพิ่มขึ้นบางส่วนสาหรับวิธีการ เอส อาร์ ไอ ( S.R.I.) ก็เพื่อใช้ในการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการลงทุนที่น่าจะได้ผลตอบแทนคืนในฤดูแรก
2. ผลการศึกษาพบว่า ต้องใช้แรงงานทางานเพิ่มขึ้น 2 ใน 3 ส่วน ของเวลาปกติในปีแรกและปีที่
สอง แต่เมื่อเกษตรกรเริ่มคุ้นเคยกับวิธีการแล้ว ก็จะรู้สึกผ่อนคลายกับวิธีการเหล่านั้น
(โดยเฉพาะ การย้ายปลูก) ความต้องการแรงงานก็จะลดลง หนึ่งในสามส่วน
3. ข้อแตกต่างที่เด่นชัดในแง่ของการใช้แรงงานตามวิธีของ เอส อาร์ ไอ ( S.R.I.)กับวิธีปลูกข้าวแบบ
ที่ใช้อยู่ทั่วไปคือ ต้องใช้แรงงานอย่างหนักเพื่อการเก็บเกี่ยว แต่ก็ไม่มีเกษตรกรคนใดบ่นว่ามีผลผลิตข้าวที่ต้องขนจากนามาสีหลายรอบเหลือเกิน เพราะนั่นหมายความว่า ครอบครัวจะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากแรงงานที่ลงทุนไป
4. หากเกษตรกรมีกิจธุระอื่นต้องทา จนแรงงานไม่เพียงพอที่จะใช้เพื่อ เอส อาร์ ไอ ( S.R.I.) ก็ยัง
คงคุ้มค่าที่จะจ้างแรงงานภายนอกมาช่วย
|